นับว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สำหรับเรื่อง YOLO หมวยย้วย มวยไม่ยอมม้วย ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ด้วยรายได้ทั่วโลกกว่า 16,000 ล้านบาท ภาพยนตร์แนวคอมเมดี้ที่นำแสดงโดย เจี่ยหลิง, เล่ยเจียหยิน, จางเสี่ยวเฟย, จ้าวไห่เยี่ยน ซึ่งถือว่ามีเนื้อเรื่องที่กินใจสะท้อนถึงความรักในรูปแบบต่างๆ ทั้งความรักจากครอบครัว คนรัก และการรักตัวเอง นอกจากนี้หนังยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมเปลี่ยนแปลงตนเองและจุดประกายความฝัน ความมุ่งมั่นในการเอาชนะ ไม่ใช่เพียงการแข่งขันแต่คือการเอาชนะใจตนเอง พร้อมมุกตลกสไตล์เอเชียที่แทรกเข้ามาอย่างลงตัว ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม
YOLO หมวยย้วย มวยไม่ยอมม้วย จะเล่าเรื่องราวของ ตู้เล่ออิ๋ง สาวหมวยร่างอวบที่เคยแต่ซุกตัวอยู่ในบ้านมาตลอดชีวิต ได้ตัดสินใจก้าวออกจากโลกที่คุ้นเคยเพื่อเผชิญความท้าทายใหม่ โดยเธอตัดสินใจไปพบกับครูมวยหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยพลังอย่าง เฮ่าคุน ซึ่งเขาเองนั้นได้จุดประกายให้เธอค้นพบความหมายของการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แรงบันดาลใจจากความรัก และความปรารถนา ที่จะพิสูจน์ตัวเองได้ผลักดันให้เล่ออิ๋งก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง เธอฝึกฝนมวยอย่างไม่ลดละและยังพร้อมเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ด้วยหัวใจที่กล้าหาญ การเดินทางของเธอเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะเคยเป็นเพียงหญิงสาวที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อมีความฝันและความมุ่งมั่น เธอก็สามารถกลายเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งได้
ถ้าแค่การดูจากภาพปกหนังก็คงจะคิดว่าเป็น ภาพยนตร์แนวที่จะมาเน้นเรื่องการลดน้ำหนักและการชกมวยเฉยๆ แต่แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นว่านี่คือภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง เพราะเมื่อเราทุกคนมีชีวิตอยู่เพียงครั้งเดียว เราก็ควรให้ความสำคัญกับตัวเองและทำสิ่งที่เราต้องการอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องราวของตัวละครหลัก เล่ออิ๋ง ที่เธอเองก็ได้เผชิญกับความท้าทายต่างๆ ทั้งจากครอบครัว เพื่อนสนิท และคนรัก ซึ่งทำให้เราติดตามเรื่องราวของเธอได้อย่างลุ้นระทึกว่าเธอจะทำสำเร็จได้หรือไม่ ซึ่งระหว่างทางก็ได้เล่าเรื่องราวพร้อมกับมุกตลกมากมายที่แทรกมาตลอดทั้งเรื่องให้ไม่มีเบื่อเลยทีเดียว
เนื้อหาของเรื่องนั้นถือว่าทำออกมาได้น่าติดตามทีเดียว ด้วยการสร้างปมที่ซ่อนๆ ไว้อย่างแนบเนียน และสุดท้ายกลับมาพลิกล็อกได้อย่างไม่คาดคิด ตรงส่วนนี้ถือว่าสร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้ตระหนักว่าการตัดสินจากภายนอกอาจเดาเรื่องผิดไปได้เลย เพราะเนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างลื่นไหล และการเชื่อมโยงฉากต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งช่วยให้ผู้ชมอินไปกับอารมณ์ของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง แม้ว่าตัวหนังเองนั้นอาจไม่ได้เน้นฉากการต่อสู้ดุเดือดมากนักตามชื่อเรื่อง เพราะนี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นแต่เป็นหนังแนวคอมเมดี้ เลยจะเน้นถ่ายทอดเรื่องราวและความสัมพันธ์ ความนึกคิดของตัวละครมากกว่า ซึ่งก็ทำได้ดีมากๆ โดยเฉพาะกับการถ่ายทอดเป้าหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าการแข่งขันชกมวยทั่วไปได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าการวางเนื้อหาหรือโครงเรื่องนั้นจะถือว่าทำออกมาได้ดี แต่บางฉากที่ควรเน้นอารมณ์กลับถูกตัดให้สั้นไปซะอย่างนั้น ทำให้รู้สึกเลยว่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นการพัฒนาอารมณ์อย่างเต็มที่ ในทางกลับกันบางฉากที่ปล่อยให้เดินเรื่องยาวๆ กลับสามารถกระชับให้สั้นลงได้อีกก็ไม่ค่อยจะสมดุลสักเท่าไร เพราะเนื่องจากภาพยนตร์มีความยาวกว่า 2 ชั่วโมง จึงมีบางฉากที่ดูเนือยๆ แต่ความตลกแบบครอบครัวคนเอเชียก็ยังมาช่วยให้เรื่องมันพอจะไหลต่อไปได้จนจบ ถือว่าเป็นเรื่องที่มอบความบันเทิงอย่างเต็มอิ่ม โดยเฉพาะฉากฮายิงมุกก็ตลกจริงๆ ซึ่งคนไทยอย่างเราก็พอจะเก็ทมุกได้ไม่ยาก
อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องชื่นชมเลยคือด้านตัวละครอย่าง เล่ออิ๋ง ที่รับบทโดย เจี่ย หลิง ซึ่งก็เป็นผู้รับบทนำและกำกับภาพยนตร์ด้วยตนเอง ถือว่ามีความเข้าใจในตัวละครอย่างลึกซึ้งและถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ บทจะตลกก็ดี บทจะดราม่าก็ถือว่าสุดและทำถึงมากๆ แม้ว่าภายนอกเล่ออิ๋งอาจดูไม่สันทัดในการสื่อสาร แต่ตัวละครนี้มีความลึกซึ้งที่เจี่ย หลิงถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจน จนผู้ชมรู้สึกอินและซาบซึ้งไปด้วย เราจะได้เห็นถึงความทุ่มเทอย่างเต็มที่ทั้งในด้านการแสดงและการกำกับ ซึ่งได้เผยออกมาว่าเธอนั้นได้ลดน้ำหนักตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ใช้ในการสร้างภาพยนตร์กันเลยทีเดียว
ด้านงานภาพนั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว ทั้งโทนภาพที่สุดแสนจะละมุน บวกกับการใช้แสงในโทนอบอุ่น มันช่วยสร้างบรรยากาศที่ชวนให้หัวใจพองโตได้จริงๆ ยิ่งบวกกับบทของตัวละครที่ช่วยส่งมาแล้วด้วยยิ่งดีไปอีก การเรียบเรียงและตัดต่อที่ลงตัวจนทำออกมาดีมาก เราจะได้ชมเรื่องราวได้อย่างเต็มอิ่มจริงๆ พร้อมยังมีองค์ประกอบด้านโปรดักชันที่ถือว่าเสริมกันดีมากจนรู้สึกถึงความประทับใจให้กับเรื่องนี้ได้จริงๆ
โดยรวมถือว่าเป็นหนังแนวคอมเมดี้ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายในหลายแง่มุม แม้ว่าบางส่วนจะล้นๆ เกินๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ยังลงตัวดีอยู่ และแม้การชกมวยเป็นจุดโฟกัสหลัก แต่แง่มุมการใช้ชีวิต การเติมเต็มความฝัน และการเอาชนะอุปสรรคก็เปล่งประกายไม่แพ้กัน ซึ่งการเล่นกับสตอรี่ตรงนี้มันกระตุ้นความรู้สึกอิ่มเอมใจให้กับผู้ชมได้ดีมากจริงๆ แถมยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตอีกด้วย ถือว่าเป็นสองชั่วโมงเต็มอิ่มที่ได้อะไรดีๆ ความสนุกและเสียงหัวเราะครบทีเดียว